จุดเริ่มต้นสโมสร
สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่า (Football Club Barcelona)หรือมีอีกชื่อที่เป็นที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า บาร์ซา (Barca) ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพสเปนอยู่ในแคว้นกาตาลุญญา เมืองบาร์เซโลน่าเล่นอยู่ในลาลิกาและมีชื่อเต็มว่า ฟุตบอลกลุบบาร์เซโลนา ได้มีการก่อตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 และยังเป็สโมสรฟุตบอลที่ได้เป็นผู้ชนะในถ้วยสเปนในปัจจุบันด้วยที่ยังชนะในการแข่งลาลีกาถึง 26 สมัย
- ชนะเลิศในซุเปอร์โกปาเดเอสปัญญา 10 สมัย
- ชนะเลิศในโกปาเดลเรย์ 30 สมัย
- ชนะเลิศในโกปาเอบาดัวร์เต 3 สมัย
- รวมไปถึงได้รับรางวัลปาเดลาลิกา 2 สมัย
เรียกได้ว่าเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุโรป ชนะเลิศในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 4 สมัย ชนะเลิศในแชมป์เปี้ยนลีก 5 สมัย ชนะเลิศในยูฟ่าซูเปร์คัพอีก 5 สมัยและฟีฟ่าคลับเวิลคัพ 3 สมัยและยังมีสถิติที่ได้รับชัยชนะในอินเตอร์ – ซิตี้แฟส์คัพ 3 สมัยถ้วยต้นแบบของยูฟ่าคัพอีกด้วย
นับว่าเป็นสโมสรในยุโรปเพียงแค่สโมสรเดียวเท่านั้นที่แข่งในฟุตบอลระหว่างทวีปในทุกฤดูกาลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 และยังเป็นหนึ่งเดียวใน 3 สโมสรที่ไม่ได้ได้สัมผัสกับคำว่าตกชั้นในลาลิกาต่อมาในปี ค,ศ. 2009 ก็ยังเป็นสโมสรสเปนแห่งแรกที่ได้รับการครองแชมป์ถึง 3 รางวัลคือ โกปาเดลเรย์, ลาลิกาและแชมป์เปี้ยนลีกพร้อมกันกับในปีเดียวกันนี้ก็ยังได้เป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขัน 6 รางวัลในปีเดียวได้ถ้วยเพิ่มอีก 3 ถ้วยคือ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ,ซุเปร์โกปาเดเอสปัญญา และฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ
กลุ่มของนักฟุตบอลสวิส อังกฤษและสเปนได้มีการก่อตั้งชื่อฟุตบอลคลับบาร์เซโลนาขึ้นมาในปี ค.ศ.1899 ที่มีการนำโดยฌูอันกัมเป มีเพลงประจำสโมสรคือเพลง กันดัลบาร์ซาที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยมา ปิกัสและฌูแซ็ป มาริอาอัสปินัสและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรมกาตาลาแลนิยมกาตาลาที่มีคำขวัญอย่างเป็นทางการว่า “Me’s que un club ที่มีความหมายว่า มากกว่าสโมสรนั่นเอง ทางของผู้ที่สนับสนุนทีมก็เป็นถึงเจ่าของและบริหารทีมบาร์เซโลนาซึ่งทางสโมสรฟตบอลก็ถูกจัดว่าเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับที่ 2 ส่วนเรื่องของรายได้ที่จะมีรายได้ประจำปี 398 ยูโรและก็ยังเป็นสโมสรที่เป็นคู่ปรับกับทางเรอัลมาดริดมาอย่างยาวนาน ถ้าเป็นการนัดการแข่งขันกันระหว่างสองทีมนี้จะมีการขนานนามว่า เอลกลาซิโก
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1909 ทางสโมสรก็ได้มีการย้ายไปจากสนามกัมเดลาอินดุสเตรียที่มีความจุได้ 8,000 คน หลังจากปี 1910-1914 ทางบาร์เซโลนาก็ได้ลงแข่งในถ้วยพิเรนีสที่ประกอบไปด้วยหลายทีมเด็ดของ ล็องด็อก ,อากีแตน(ฝรั่งเศลใต้),มีดี กาตาลุญญาและลาสก์และช่วงเวลานั้นเองก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อสโมสรอย่างเป็นทางการจากภาษาสเปนกัสติยา(Castilian Spanish) มาเป็นภาษากาตาลาและก็ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์กาตาลาขึ้นมาเพื่อให้ทางทางแฟน ๆ ได้มีส่วนร่วมของอัตลักษณ์กลุ่มของทางสโมสร
ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 ทางสโมสรได้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมามากกว่า 20,000 คนและถ้าพูดถึงเรื่องของทางด้านการเงินก็นับว่าดีทีเดียวที่จะสามารถสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ซึ่งในปีเดียวกันก็ได้ย้ายสโมสรไปเลสกอตส์ที่ได้มีการสร้างขยายเพิมให้จุคนได้กว่า 60,000 คน ในส่วนของทางด้านผู้จัดการเต็มเวลาคนแรกของสโมสรก็คือ แจ็ก กรีนเวลล์ ช่วงยุคที่ทองของทางสโมสรก็เป็นช่วงระหว่ายุคของกัมเปร์ ที่ทางสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาได้คว้าถ้วยกัมเปียนัตเดกาตาลันถึง 11 ครั้ง ถ้วยพเรนีส 4 ครั้ง ถ้วยโกปาเดลเรย์ 6 ครั้ง เลยทีเดียว
ค.ศ.1923 ถึง 1957
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1925 ก็ได้มีหมู่ชนที่สนามกีฬาร้องเพลงชาติในการประท้วงต่อระบบเผด็จการของ มีเกล เด รีเบรา และสนามก็ได้ถูกสั่งให้ปิดลงไปถึง 6 เดือนจากการโต้ตอบด้วยกำลังของหหารและกัมเปร์ที่ถูกบียให้ถอนตัวออกจากการเป็นประธานของสโมสรด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสโมสรได้สู่ความเป็นมืออาชีพและทางผู้บริหารบาร์เซโลนาได้ออกมาเปิดเผยว่าเป็นครั้งแรกของบาร์เซโลนาที่ได้ก้าวเข้าสู่มืออาชีพหลังจากที่ทางสโมสรได้คว้าถ้วยสเปนก็ได้มีการแต่งบทกวีเพื่อเฉลิมฉลองในชื่อ โอดาปลัตโก ที่สมาชิกกลุ่มเจเนอเรชันออผ 27 ได้เขียนขึ้นมาและได้มีแรงบันดาลใจจาก วีรกรรม ของผู้รักษาประตูบาร์เซโลนาและเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1930 ที่ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา กัมเปร์ได้ฆ่าตัวตายด้วยปัญหาที่เกิดจากความเครียดทั้งในด้านการเงินและปัญหาส่วนตัว
หลังจากนั้นก็ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ทำให้ลดความสำคัญของด้านกีฬาจึงทำให้สโมสรมาถึงยุคที่เสื่อมถอยลงต่อมาให้หลังอีกแค่หนึ่งเดือนก็ได้มีการเกิดสงครามกลางเมืองสเปนขึ้นที่ทำให้นักฟุตบอลหลายคนก็เข้าไปเป็นทหารเพื่อต่อสู้กับการปฏิวัติ วันที่ 6 สิงหาคม ประธานสโมสร ชูเซบ ซุนยอลและตัวแทนพรรคก็สนับสนุนการเมืองเสรี ถูกฆาตรกรรมจากกลุ่มของทหาร ฟาลังเคติดกับเมืองกว่าดาร์รามาและในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์สโมสรบาร์เซโลนาว่า บาร์เซโลนินเม ที่เป็นห่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานที่สุด ช่วงที่ผู้เล่นได้มีการเดินทางไปแข่งที่แม็กซิโกและสหรัฐอเมริกาในนามของสาธารณรัฐสเปนครั้งที่ 2 จึงทำให้เรื่องของการเงินของสโมสรกระเตื่องขึ้นอีกครั้ง เป็นผลให้ครึ่งหนึ่งของทีมหาทางที่จะลี้ภัยในเม็กซิโกและฝรั่งเศล หลังจากได้มีการเกิดสงครามการเมืองขึ้นก้ได้มีการสั่งห้ามธงชาติกาตาลาและสโมสรฟตุบอลที่ไม่ได้ใช้ชื่อสเปนซึ่งมีผลบังคับให้สโมสรที่ต้องทำการเปลี่ยนชื่อมาเป็น กลุบเดฟุตบอลบาร์เซโลนา (สเปน: Club de Fubol Barcelona) ที่ได้มีการเอาธงกาตาลาออกจากตราของสโมสรด้วย
ต่อมาทางบาร์เซโลนาก็ได้มีการร่วมลงแข่งกับทางเรอัลมาดริดในรอบรองชนะเลิศของ โกปาเดลเฆเนราลิซิโมเมื่อปี ค.ศ. 1943 ในนัดแรกที่ได้มีการแข่งที่เลสกอตส์ บาเซโลนาก็ชนะไป 3-0 และในช่วงก่อนการแข่งในนัดที่ 2 จะเกิดขึ้น จอมพลฟรันซิสโก ฟรังดกก็ได้เข้าเยี่ยมห้องเปลี่ยนชุดของทีมบาร์เซโลนา ฟรังโกได้เข้าตักเตือนพวกเขาเรื่องที่เขาเล่นได้นั้นเนื่องจากเป็นความกรุณาต่อระบอบปกครองและในนัดต่อมาเรอันลมาดริดชนะการแข่งขันแบบไม่เห็นฝุ่น 11-1 ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 และ 1950 ในปี ค.ศ. 1946 ผู้จัดการทีมและผู้เล่นนำบาเซโลนาชนะในลาลิกาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929และชนะอีกรอบในปี ค.ศ. 1948 และ ค.ศ. 1949 ก็สร้างปรากฏการณ์ที่ได้รับถ้วยละตินคัปเป็นครั้งแรกในปีนั้นด้วย
ช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 ก็ได้เซ็น ลาดิสเลา คูลาลาที่นับว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลให้การก่อร่างสร้างตัวของสโมสร ทางลัสโซล คูบาลาและผู้จัดการทีม เฟอร์ดินานด์ เดาซีก นำทีมไปคว้าถ้วยรางวัล 5 รางวัลที่รวมไปถึง โกปาเดลเฆเนราลิซิโม ,ลาลิกาโดยต่อมาได้มีการใช้ชื่อว่า โกปาเดลเรย์ ,ละตินคัป ,โกปาเอบาดัวร์เต และโกปรมาร์รีรนีรอสซี ต่อมาทางสโมสรก็ได้คว้าชัยชนะอีกครั้งในปี ค.ศ. 1953
ค.ศ. 1957 ถึง 1978
มีการนำทีมของผู้จัดการเอเลเนียว เอร์เรราพร้อมกันกับนักฟุตบอลยอดเยี่ยมยุโรปแห่งปี ค.ศ. 1960 นักเตะฟุตบอลชาวฮังการี 2 คนและลุยส์ ซัวเรซที่ได้ทำให้ทีมได้รับชัยชนะจากการแข่งขันระดับชาติ 2 รางวัลและในปี ค.ศ. 1961ก็ยังเป็นทีมแรกที่ได้ชนะเรอัลมาดริดกับการแข่งขันยูโรเปียนคัพแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับไบฟีกาในรอบชิงชนะเลิศ
ช่วงเวลาต่อมาที่ทางสโมสรซึ่งไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเรอัลมาดริดที่ได้ครองแชมป์แต่เพียงผู้เดียวแต่มันก็มีเรื่องที่ดีคือ เป็นช่วงแจ้งเกิดของ ชูเซบ มาเรีย ฟุสเตและ กาเลสเรชักและทำให้การเล่นกลับมาดีขึ้นอีกครั้งในการชนะคู่แข่งเก่าอย่าง เรอัลมาดริด ชนะไป 1-0 และนัดตัดสินด้วยการนำทีมของอดีตนักบินสาธารณรัฐ ซัลบาดอร์ อาร์ตีกัสในฐานะผู้จัดการทีมต่อหน้าของจอมพลฟรังโกด้วย เมื่อจนยุคระบบเผด็จการสโมสรก็ได้มีการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการมาเป็น ฟุตบอลกุล่บบาร์เซโลนาและเปลี่ยนตราสัญลักษณ์มาเป็นตัวอักษรเดิมด้วย
อีกเรื่องที่ถือว่าเป็นสถิติใหม่ของโลกที่สโมสรซื้อตัว โยฮัน ไกรฟฟ์จาก อายักซ์ด้วยค่าตัวถึง 920,000 ปอนด์และไกรฟฟ์ก็ยังได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยุโรปยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1973 ในฤดูกาลแรกของเขายังได้รับบัลลงดาร์ครั้งที่ 2 ของเขาด้วยและยังได้รับรางวัลอีกเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่สามารถทำได้ หลังจากนั้นก็ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดระบบเผด็จการของจอมพลฟรังโกโดยที่ประเด็นหลักของนูเญซก็เป็นการพัฒนาบาร์ซาสู่สโมสรระดับโลกโดยที่ให้ความมั่นคงกับทางสโมสรทั้งในและนอกสนาม ลามาซีอาได้ดำรงตำแหน่งประธานทั้งหมดถึง 22 ปีและเขาก็ได้ให้ค่าตัวนักฟุตบอลแต่ละคนเท่ากับเงินที่พวกเขาต้องการด้วย
ค.ศ. 1978 ถึง 2000
เมื่อปีค.ศ. 1979 เป็นครั้งแรกที่ทางสโมสรชนะในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ด้วยการชนะทีมฟร์ทูนาดึสเซลดร์ฟไป 4-3 ต่อมามารโดนาก็ได้มีการเซ็นสัญญาด้วยค่าตัวที่สูงลิ่วด้วยเงิน 5 ล้านปอนด์กับสโมสรฟตุบอลโบคาจูเนียส์และต่อมาก็ได้ย้ายไปอยู่กับนาโปลี ฟุตบอลโลก 1966 แกรี ไลน์เคอร์ก็ได้เป็นผู้ที่สามารถทำประตูได้สูงสุดและได้เข้าเซ็นสัญญากับสโมสรพร้อมกันกับ อันโดนี ซูบีซาร์เรตา ผู้รักษาประตูแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับมีชุสเทอร์และทางเวเนเบิลล์ก็ได้ถูกไล่ออกและได้ ลุยส์ อาราโกเนสมาแทน
โยฮัน ไกรฟฟ์ก็ได้กลับมาอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีมเมื่อปี ค.ศ. 1988 และก็ถือได้ว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสโมสรแล้วแต่ดำรงตำแหน่งนี้ได้นานที่สุดอีกด้วยแต่ช่วง 2 ฤดูกาลสุดท้ายเขาก็ต้องออกจากสโมสรไปเนื่องจากเขาทำพลาดไปหลายถ้วยและได้ บ็อบบี ร็อบสันมาแทน ส่วนทางรีวัลเป็นนักฟุตบอลคนที่ 4 ของสโมสรทีได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเรอัลมาดริดในแชมป์เปียนส์ลีกที่ได้ส่งผลให้วาน กัลป์และนูเญซลาออกในปี 2000 แต่แล้วก็ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเมื่อฟีกูได้ตัดสินใจเข้าไปร่วมกับทีมคู่แข่งอย่างเรอัลมาดริดที่ทำให้เขาต้องพบกับการต้อนรับในสนามกัมนอว์อย่างกดดันเอามาก ๆ
ค.ศ. 2000 ถึง 2008
กัลป์ได้กลับมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมเป็นครั้งที่ 2 แต่ในปี 2003 ก็ได้ลาออกจากสโมสรไป ต่อมาทางสโมสรก็ได้พลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยประธานคนใหม่ วูอัน ลาปอร์ตา ที่เป็นอดีตนักฟตุบอลชาวดัตซ์ ทำให้สโมสรกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 บาร์เซโลนาก็คว้าชัยชนะในฟีฟ่าคลับเวิลดัพ 2009 และเป็นทีมแรกที่ได้ 6 ถ้วยมาครองพร้อมด้วยสร้างสถิติใหม่ให้กับวงการฟุตบอลสเปนด้วยการเป็นผู้ชนะในลาลิกาด้วยคะแนนสูงถึง 99 คะแนนและยังได้ถ้วยซูเปอร์คัพของสเปนมากที่สุดเป็นครั้งที่ 9 เมื่อปี ค.ศ 2010 ซันดรู รูเซลย์ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานคนใหม่และได้เซ็นสัญญานำนักฟุตบอลเข้ามา เข่น ดาบิด บียา,คาเบียนร์ มาเชราโน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2010 บาร์เซโลนาก็ได้รับชัยชนะจากการแข่งขันกับคู่ปรับแรอัลมาดริดในเอลกลาซิโกถึง 5-0 และบาร์เซโลนาก็ยังคงครองแชมป์ลาลิกาเป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกันพร้อมด้วยคะแนะน 69 คะแนน
ค.ศ. 2008 ถึง 2016
เมื่อค.ศ. 2011 เดือนเมษายน สโมสรชนะในโกปาเดลเรย์นัดตัดสินแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเรอัลมาดริดไป 1-0 เดือนพฤษภาคม บาร์เซโลนาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 2011 นัดตัดสิน 3-1 ที่สโมสรชนะในถ้วยนี้เป็นครั้งที่ 4 และเดือนสิงหาคม บาร์เซโลนาได้มีการดึงเอา เซสก์ กาเบรกัสมาจากอาร์เซนอลที่ทำให้บาร์เซโลนาสามารถป้องกันแชมป์ซูเปอร์คัปของสเปนได้ด้วยการชนะเรอัลมาดริดเป็นถ้วยอย่างเป็นทางการใบที่ 73 ของทีมด้วยและในเดือนเดียวกันนี้ก็ยังได้รับชัยชนะสโมสรฟุตบอลโปร์ตูในยูฟ่าซูเปอร์คัพที่ส่งผลให้กวาร์ดีโอลาได้นำทีมชนะถ้วย 12 ใบจาก 15 การแข่งขันเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นที่นับว่าเป็นสถิติผู้จัดการทีมที่คว้าถ้วยรางวัลไปมากที่สุดของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่าและต่อมาเมื่อเดือนธันวาคมบาร์เซโลน่าก็มาเหนือเมฆด้วยชนะในฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพที่รวม ๆ แล้วการได้ถ้วยจากการนำทีมของ กวาร์ดีโอลาก็เพิ่มขึ้นเป็น 13 ถ้วยจากการแข่งขัน 16 ครั้งใน 3 ปีครึ่ง
ภาพและข้อมูล : wikipedia.org , fcbarcelona.com